ช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ ใครๆ ต่างก็พากันเดินทางกลับภูมิลำเนา ส่วนผมเองอยู่ต่างจังหวัดอยู่แล้วเลยไม่มีภูมิลำเนาให้กลับ … ก่อนถึงช่วงหยุดยาว พี่บีได้ไลน์มาหา บอกว่าจะแวะมาเยี่ยมผม และภรรยาที่ท้องแก่เต็มที … ด้วยความอยากเป็นเจ้าบ้านที่ดี พาเที่ยวเมืองเล็กๆ แห่งนี้ จึงได้นัดพี่บี ให้มาเที่ยววันที่ 29 ธันวาคม ตอนแรก พีบีวางแผนว่าจะมาเช้าเย็นกลับ แต่พอดีเช้าวันพุธที่ 30 ธันวาคม มีงานตักบาตรย้อนยุคที่บ้านสิงห์ท่า จึงได้ชวนให้พี่บีนอนค้างสัก 1 คืน รอทำบุญด้วยกันตอนเช้าก่อน แล้วค่อยกลับขอนแก่น … จึงเป็นที่มาของทริปนี้
พีบี เดินทางออกจากขอนแก่นตั้งแต่ยังไม่ 7 โมงเช้า แต่ด้วยความที่การจราจรคับคั่งช่วงเทศกาลปีใหม่ ประกอบกับช่วงถนนระหว่าง ร้อยเอ็ด-ยโสธร เป็นถนน 2 เลน ทำให้พี่บีมาถึงที่ยโสธร เกือบๆ 10 โมงเช้า
เราเริ่มต้นนัดมาเจอกันที่ออฟฟิศของผม จากนั้นสถานที่แรกที่ได้พาพี่บีไป นั่นก็คือ อาคารพญาคันคาก และอาคารพญานาค … แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของยโสธร สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต ที่ได้รับการบรรจุเข้าไปในแคมเปญ เขาเล่าว่า ของ ททท. ปี 2559 เรียบร้อยแล้ว
ภายนอกของทั้ง 2 อาคาร สร้างเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เหลือแต่ส่วนพิพิธภัณฑ์ภายในที่อยู่ระหว่างการหาผู้ประมูลโครงการ ซึ่งประมาณปลายปี 2560 น่าจะเสร็จสมบูรณ์ 100% เป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ซึ่งจะมีโรงหนัง 4 มิติ ขนาดย่อมๆ ให้ชมกันด้วย
จุดที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือ การเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุดของอาคารพญาคันคาก เพื่อชมทัศนียภาพมุมสูงของยโสธร ฝั่งตำบลตาดทอง (เสียดาย ที่ไม่สามารถมองเห็นมุมสูงของตัวเมืองยโสธรได้ เพราะว่าอยู่คนละฝั่ง) และที่จุดนี้เอง ทำให้ผมค้นพบจุดชมวิวแห่งใหม่จากอีกฝั่งของลำทวน จึงได้ชวนพี่บีไปกัน … ต้องจอดรถไว้ข้างนอก และเดินผ่านป่าละเมาะไปอีกนิดหน่อย แต่ทัศนียภาพที่ได้ นับว่าคุ้มค่ามากจริงๆ
ใกล้จะได้เวลาเที่ยงแล้ว กองทัพต้องเดินด้วยท้อง จึงได้ไปรับภรรยามาทานข้าวเที่ยงด้วยกันเลย และร้านอาหารที่เราแวะไปวันนี้คือ ร้านเป๋าตุง ซึ่งเป็นร้านอาหารนานาชาติ เมนูที่ผมค่อนข้างชื่นชอบเป็นพิเศษของร้านนี้คือ พาสต้า และโซบะเย็น … ช่วงปีใหม่ ทางร้านมีโปรโมชั่น ทานครบ 300 ลุ้นรับรางวัลส่วนลด หรืออาหารฟรี 1 เมนู … และคนท้องก็นำโชคมาให้เรา ซึ่งรางวัลที่จับได้ในครั้งนี้คือ เมนูปลาดิบแซลมอนชุดเล็ก … โชคดีสุดๆ ไปเลย
หลังจากที่อิ่มกันแล้ว จึงได้พากันย้ายไปเติมความสดชื่นกับเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ร้านกาแฟมิสอารีย์ (ซึ่งเป็นร้านของผมเอง) แล้วเราก็ได้เครื่องดื่มติดมือไปกันคนละแก้ว จากนั้น จึงขับรถมุ่งหน้าออกไปยังอำเภอไทยเจริญ เพื่อไปชม โบสถ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ผมเลือกที่จะใช้ถนนเจ้าเสด็จ ซึ่งเป็นถนนคู่ขนานกับทางหลวงหมายเลข 2169 เนื่องจากต้องการเลี่ยงการจราจรที่คับคั่ง และต้องการให้พี่บีได้ชมบรรยากาศอันรื่นรมย์ของ 2 ข้างทางนี้แทน … ที่มาของชื่อถนนเส้นนี้ มาจาก ช่วงสมัยที่ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ออกตรวจหัวเมืองที่มณฑลอุดร เมื่อปี 2449 และได้เดินเท้าจากเมืองมุกดาหารมายังยโสธร โดยผ่านถนนเส้นนี้ ชาวบ้านจึงเรียกเส้นทางนี้ว่า ถนนเจ้าเสด็จ
จากตัวเมืองยโสธร ขับรถประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงบ้านซ่งแย้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์แห่งนี้ … ชาวบ้านที่หมู่บ้านแห่งนี้ เป็นชาวไทยอิสาน และได้นับถือศาสคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเกือบทั้งหมด โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ มีชื่อเต็มว่า วัดอัครเทวาดามิคาแอล ซึ่งตั้งชื่อตามนักบุญองค์สำคัญ เป็นโบสถ์ไม้ศิลปะแบบไทย ซึ่งแรกเริ่มชาวบ้านปลูกเป็นกระต๊อบเล็กๆ เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และได้มีการบูรณะสร้างอาคารโบสถ์ใหม่อีกหลายครั้ง จนเป็นโบสถ์ไม้ขนาดใหญ่ที่เราเห็นอยู่ใจปัจจุบันนี้
บรรยากาศค่อนข้างร่มรื่นและเงียบสงบ เราได้พากันเดินชมรอบๆ อาคาร และภายในอาคารกันอยู่พักใหญ่ จึงได้เดินทางกลับตัวเมืองยโสธร
ถึงยโสธรประมาณบ่าย 4 โมงเย็น ผมต้องกลับเข้ามาเคลียร์งานที่โรงงาน แต่เห็นว่ายังพอมีเวลา จึงได้พาพี่บี ไปกราบพระเจ้าใหญ่ และให้อาหารปลา ที่วัดบ้านกว้าง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงงานของผมนัก
พระเจ้าใหญ่วัดบ้านกว้าง เป็นพระพุทธรูปโบราณที่มีลักษณะแปลกตาสร้างด้วยดินผสมยางไม้ ประดิษฐานอยู่ภายในอุโบสถของวัดบ้านกว้าง หลังจากที่ได้กราบขอพรพระเจ้าใหญ่เรียบร้อยแล้ว จึงได้พากันไปให้อาหารปลายังเขตอภัยทานของวัดบ้านกว้าง ซึ่งชาวยโสธรรู้จักกันดีในชื่อว่าวังมัจฉา ขอบอกว่า ปลาที่นี่ ตัวใหญ่มาก… และมีเยอะมาก อีกทั้งบรรยากาศริมน้ำเย็นสบาย ทำให้เมื่อมาที่นี่แล้วรู้สึกสงบและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลย…
หลังจากที่ผมเคลียร์งานที่โรงงานเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี ตอนแรก ตั้งใจว่าจะพาพี่บีไปทานอาหารอาหารอิสานที่ขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่ง ก็คือแจ่วฮ้อน ที่ร้านน้องแจ่วฮ้อน แต่โชคไม่ดีโต๊ะเต็ม จึงได้ย้ายกันไปทานที่ ชาบูอินดี้แทน … ถึงจะไม่ได้บรรยากาศ แต่ก็ได้รสชาติของน้ำซุปร้อนๆ ท่ามกลางอากาศที่เริ่มเย็น พอแก้ขัดกันได้อยู่
ก่อนจะกลับเข้าบ้านเพื่อพักผ่อน … ตามความเชื่อส่วนตัว เมื่อมีแขกบ้านแขกเมืองมาที่ยโสธร ผมต้องพาไปกราบศาลหลักเมืองก่อน เพื่อความเป็นศิริมงคล และขอบอกว่า หลีกเมืองที่ยโสธร พิเศษต่างจากที่อื่นคือ มี เสาหลักเมืองอยู่ 3 เสา ซึ่งเสาใหญ่ที่อยู่ตรงกลางนั้น คือหลักเมือง และเสาเล็ก 2 ต้น ซ้ายขวา คือเสาของผีพระละงุม และผีพระละงำ ที่คอยปกปักรักษาหลักเมืองอีกทีหนึ่ง
นอกจากความพิเศษของเสาหลักเมืองแล้ว สถาปัตยกรรมของศาลหลักเมืองก็ยังแปลกตากว่าที่อื่นด้วย คือ เป็นอาคารผสมระหว่าง 3 สถาปัตยกรรม คือ ตัวอาคารเป็นแบบจีน หลังคา ทรงไทย และที่ยอดศาลจะเป็นพระธาตุศิลปะแบบลาว ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ลงตัวของวัฒนธรรม
จริงๆ ตอนเย็น ที่ยโสธร ก็มีร้านให้นั่งชิลๆ อยู่หลายร้าน แต่ด้วยความที่พี่บีไม่ใช่สายดาร์ค อีกทั้งต้องตื่นเช้ามาตักบาตรในวันรุ่งขึ้น จึงไม่ได้พาไปต่อ … แต่ถ้าใครสนใจ event ตอนกลางคืน ที่ยโสธร ก็มีร้านบรรยากาศสบายให้นั่งคุยนั่งดื่มอยู่หลายร้าน ไม่ว่าจะเป็น นั่งเล่น เล่าลือ บางบาร์ และซาเล้ง
เมื่อได้นอนเต็มอิ่มแล้ว วันที่ 2 เราก็ได้เตรียมตัวไปทำบุญกันต่อ ที่ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า … สถานที่แห่งนี้ เป็นชุมชนแรกเริ่มของยโสธร มีอายุร่วม 200 กว่าปี เรียงรายไปด้วยตึกรามบ้านช่องโบราณสไตล์ชิโนโปรตุกิส อีกทั้งย่านแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของศาลหลักเมืองที่เราได้แวะกันมาแล้วเมื่อวาน … และวัดประจำชุมชนนี้ คือวัดสิงห์ท่า วัดเก่าคู่บ้านคู่เมืองสมัยตั้งเมืองยโสธร อีกวัดหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่เราจะมารอตักบาตรย้อนยุคกันในเช้าวันนี้ …
ที่ประตูทางทิศเหนือของวัด เจ้าหน้าที่วัฒนธรรมจังหวัดยโสธร ได้จัดเตรียมสถานที่รอเราแล้ว ได้มีการปูเสื้อไว้ 2 ข้างทาง เราก็ได้พากันไปจับจองที่นั่ง เพื่อรอเวลา … และเมื่อได้เวลา พระก็จะเดินออกจากประตูวัด เพื่อมารับบิณบาตร โดยเราจะนั่งใส่บาตรอยู่ที่พื้น สาเหตุที่ผมชอบมาตักบาตรที่นี่คือ บรรยากาศสบายๆ ที่ย่านเมืองเก่า อีกทั้งเมื่อตักบาตรเสร็จแล้วก็จะมีการแสดงธรรมเทศนาสั้นๆ และที่สำคัญ ที่นี่เริ่มตักบาตรกันตอน 7 โมงเช้า ซึ่งทำให้ผมได้มีเวลานอนต่ออีกหน่อย …
กิจกรรมตักบาตรย้อนยุค จะมีเฉพาะเช้าวันพุธเท่านั้น แต่ในปี 2559 นี้ จะย้ายมาเป็นช่วงเช้าวันศุกร์ ดังนั้น หากใครอยากมาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ ต้องมาให้ถูกวันนะครับ
ทำบุญยามเช้าเสร็จก็หิวกันพอดี … ใกล้ๆ กับบริเวณที่เราตักบาตร มีร้านอาหารอยู่ร้านหนึ่ง ชื่อร้านครัวเช้า ที่นี่จะเปิดแต่เช้า ขายยาวไปถึงช่วงบ่ายๆ เมนูขึ้นชื่อก็จะเป็นก๋วยเตี๋ยวปลา และช่วงเช้า ที่ร้านจะมีเมนูอาหารเช้า คือไข่กระทะ ซึ่งจะเสริฟพร้อมกับขนมปังอบ ซึ่งเราก็จัดกันไปคนละชุด
เริ่มต้นด้วยการทำบุญ ดังนั้น ช่วงเช้าวันนี้ก็จะพาพีบีเข้าวัดแล้วกันนะ
วัดแรก ที่พาไป นั่นก็คือ วัดศรีธรรมาราม มาถึงยโสธรทั้งที ไม่มาวัดนี้ไม่ได้ เพราะที่วัดแห่งนี้เป็นวัดที่เกจิอาจารย์ชื่อดังของภาคอิสานเคยจำพรรษาอยู่ นั่นก็คือ หลวงตาพวง ซึ่งท่านได้มรณะภาพไปหลายปีแล้ว ศิษยานุศิษย์จึงได้ร่วมกันสร้างพิพิธภัณฑ์พระเทพสังวรญาณขึ้น ซึ่งภายในเป็นที่เก็บอัฐิและรูปเหมือนของหลวงตาพวง และที่สำคัญ ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เป็นที่ประดิษฐานพระสุก (หรือที่ชาวยโสธรเรียกกันว่าพระมงคลรุ่งโรจน์) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ในตำนานเล่ากันว่าจมหาย ณ เวินพระสุก ที่แม่น้ำโขง และยังไม่สามารถนำขึ้นมาได้ หลายคนมีความเชื่อว่าที่ยังไม่สามารถนำขึ้นมาได้ เพราะพระสุกเป็นพระที่เหล่าพญานาคอัญเชิญไปสักการะ ณ ภพนาค
ตามประวัติและหลักฐานที่จารึกไว้ เล่าว่า ผู้ที่นำพระสุก มามอบไว้ให้ที่วัดศรีธรรมาราม คือ พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ (จิตร จิตตยะโศธร) อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นชาวยโสธร และมีความผูกพันกับวัดศรีธรรมาราม ซึ่งได้สั่งให้นักโทษต้องโทษประหารจำนวน 8 คน ไปงมขึ้นมาจากลำน้ำโขง และถ้าทำสำเร็จก็จะได้รับการละเว้นโทษตาย ซึ่งปรากฏว่าสามารถนำขึ้นมาได้ ต่อมาจึงได้นำมามอบให้วัดศรีธรรมาราม ในคราวที่มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ และเพื่อเป็นการอำพรางพระสุก จึงได้ใช้ชื่ออื่นแทนชื่อพระสุก และได้มีการจารึกไว้ที่กำแพงแก้วที่วัดด้วย
ออกจากวัดศรีธรรมาราม เราก็มุ่งหน้าตรงไปยังวัดมหาธาตุ วัดสำคัญอีกวัดหนึ่งที่เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธบุษยรัตน์ พระคู่บ้านคู่เมืองของยโสธร และพระธาตุพระอานนท์ ที่ภายในได้บรรจุอัฐิธาตุของพระสาวกองค์สำคัญ อย่าง พระอานนท์ ซึ่งเป็นแห่งเดียวในประเทศไทย
ก่อนจากกัน ปิดท้ายมื้อเที่ยงด้วย ข้าวปุ้นน้ำซาวพ่อพงษ์ เส้นขนมจีนคั้นสดๆ กับน้ำยารสเข้มข้น อร่อยเหาะอย่าบอกใครเลย…
เป็นอันจบทริป 2 วัน 1 คืน ที่ยโสธร … ยังมีที่เที่ยวที่ยังไม่ได้พาไปอีกเยอะ … มารอบหน้า จัดเต็มกว่าเดิม รับรอง